สายดิน มีไว้ทำไม หรือมีไว้ให้การไฟฟ้าตรวจเฉยๆ มาดูกัน

สวัสดีครับ วันนี้ PK จะพามาทำความรู้จักกับระบบสายดินกัน ซึ่งหลายๆคนสงสัย ทำไมต้องมีสายดิน มีไว้ทำไม หรือมีเพื่อให้การไฟฟ้าตรวจให้ผ่าน วันนี้ผมจะให้ทุกท่านได้ตระนักว่าจริงๆแล้วสายดินถือเป็นเรื่องสำคัญอย่างมากในระบบไฟฟ้าครับ เนื้อหานี้ผมพยามสรุปให้เข้าใจง่ายที่สุดครับ

ระบบสายดิน มีไว้เพื่ออะไร

ระบบสายดิน (Grounding System) มีหลายฟังก์ชันในระบบไฟฟ้า และมีความสำคัญมากต่อความปลอดภัยของระบบไฟฟ้า ฟังก์ชันหลักของระบบสายดินได้แก่:

  1. ป้องกันไฟดูด: การต่อดินช่วยในการป้องกันการไฟดูดได้ เมื่อมีกระแสลัดวงจรไปยังดิน ระบบสายดินจะช่วยนำกระแสลัดวงจรนั้นไปยังดิน ทำให้กระแสไม่ไหลผ่านร่างกายของมนุษย์
  2. ป้องกันการเกิดไฟไหม้: กระแสลัดวงจรสามารถทำให้เกิดความร้อนและเกิดไฟไหม้ การมีระบบการต่อดินที่ถูกต้องจะช่วยลดความเสี่ยงนี้
  3. สร้างเส้นทางสำหรับกระแสลัดวงจร: เมื่อมีการลัดวงจร, ระบบสายดินจะเป็นเส้นทางสำหรับกระแสไฟฟ้าเพื่อไหลกลับไปยังแหล่งกำเนิด ทำให้เบรกเกอร์หรือฟิวส์ทำงานและตัดวงจร
  4. ป้องกันการเกิดการลัดวงจร: ในระบบไฟฟ้าที่มีการต่อดินที่ถูกต้อง การเกิดการลัดวงจรจะทำให้กระแสไฟฟ้าเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้เบรกเกอร์หรือฟิวส์ทำงานและตัดวงจร
  5. เสถียรภาพในระบบอิเล็กทรอนิกส์: ระบบสายดินช่วยในการป้องกันการรบกวนจากสัญญาณรบกวนและเสียงรบกวนในอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์
  6. ป้องกันการเกิดความเสียหายจากแรงดันสูง: เช่น จากฟ้าผ่า ระบบสายดินจะช่วยนำกระแสจากฟ้าผ่าไปยังดิน ป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นกับอุปกรณ์

การติดตั้งและรักษาระบบสายดินให้ถูกต้องและมีประสิทธิภาพเป็นสิ่งที่สำคัญมากสำหรับความปลอดภัยและการทำงานที่มีประสิทธิภาพของระบบไฟฟ้า.

ระบบสายดินที่ถูกต้องจะต้องติดตั้งอย่างไร ตามมาตรฐานการไฟฟ้า

การติดตั้งระบบสายดิน (Grounding System) ตามมาตรฐานการไฟฟ้าของไทย ควรปฏิบัติตามข้อกำหนดและแนวทางที่กำหนดโดยการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (PEA) หรือการไฟฟ้านครหลวง (MEA) ดังนี้:

  1. เลือกประเภทของระบบการต่อดิน: ในไทย, ระบบการต่อลงดินที่นิยมคือระบบ TT ซึ่งแยกสายดินและสาย Neutral ออกจากกัน
  2. ติดตั้งแท่งกราวด์ต่อดิน: แท่งกราวด์ต่อดินควรเป็นท่อที่ทำจากทองแดงหรือเหล็กที่มีการป้องกันการกัดกร่อน ควรฝังลงในดินให้ลึกเพียงพอ และในบางกรณี อาจต้องใช้เคมีเสริมการต่อดินเพื่อลดความต้านทานของการต่อดิน
  3. ใช้สายต่อดินที่มีขนาดเหมาะสม: ขนาดของสายต่อดินควรเหมาะสมกับขนาดของระบบไฟฟ้า และควรเป็นสายที่ทำจากทองแดง
  4. ต่อสายต่อดินไปยังอุปกรณ์: ทุกอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อกับระบบไฟฟ้าควรมีการต่อดิน เพื่อป้องกันการช็อกไฟและป้องกันการเกิดความเสียหาย
  5. ตรวจสอบความต้านทานของการต่อดิน: ควรมีการตรวจสอบความต้านทานของการต่อดินอย่างสม่ำเสมอ และความต้านทานควรอยู่ในระดับที่ยอมรับได้ตามมาตรฐาน
  6. ป้องกันการเกิดการลัดวงจรกับดิน: ใช้เบรกเกอร์กันดูด (RCD, RCCB, หรือ RCBO) เพื่อตรวจจับและตัดวงจรเมื่อมีกระแสลัดวงจรกับดิน
  7. ปฏิบัติตามมาตรฐาน: ควรปฏิบัติตามมาตรฐานและข้อแนะนำที่กำหนดในการติดตั้งระบบการต่อดิน และควรปรึกษาวิศวกรไฟฟ้าที่มีความรู้เฉพาะทางเพื่อความปลอดภัยและความถูกต้อง

การติดตั้งระบบสายดินให้ถูกต้องตามมาตรฐานการไฟฟ้าของไทยจะช่วยในการป้องกันความเสียหายและเพิ่มความปลอดภัยในการใช้ไฟฟ้า.


จากรูปด้านบนจะเห็นถึงวิธีการต่อสายดินที่ถูกต้องครับ แต่ปัญหาอีกอย่างคือ แท่งกราวด์เราจะเลือกอย่างไร ลองมาทำความรู้จักแท่งกราวด์กัน

แท่งกราวด์หรือหลักต่อสายดินคืออะไร

แท่งกราวด์หรือหลักต่อสายดิน (Grounding Electrode หรือ Ground Rod) เป็นส่วนหนึ่งของระบบการต่อดินในระบบไฟฟ้า ซึ่งมีหน้าที่ในการนำกระแสไฟฟ้าที่ลัดวงจรหรือเกิดไฟดูดไปสู่ดิน ทำให้กระแสไฟฟ้าไหลผ่านแท่งกราวด์และไปยังดิน ป้องกันการช็อกไฟและความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นกับอุปกรณ์และมนุษย์

รายละเอียดของแท่งกราวด์:

  1. วัสดุ: แท่งกราวด์มักทำจากทองแดงหรือเหล็กที่มีการป้องกันการกัดกร่อน เช่น เหล็กที่มีชั้นความป้องกันโดยทองแดง
  2. ขนาด: ขนาดและความยาวของแท่งกราวด์ขึ้นอยู่กับความต้องการและมาตรฐานที่กำหนด แต่มักจะมีความยาวประมาณ 2-3 เมตร
  3. การติดตั้ง: แท่งกราวด์ควรถูกฝังลงในดินให้ลึกเพียงพอ โดยควรอยู่ในระดับที่ดินมีความชื้น และควรห่างจากอุปกรณ์หรือส่วนอื่นๆ ที่อาจเกิดการกัดกร่อน
  4. การเชื่อมต่อ: สายต่อดินจะถูกเชื่อมต่อกับแท่งกราวด์โดยใช้คลิปหรืออุปกรณ์เชื่อมต่ออื่นๆ ที่มีความน่าเชื่อถือและป้องกันการกัดกร่อน



แท่งกราวด์ที่มีอยู่ในท้องตลาดเมืองไทยมีแบบไหนบ้าง

ในท้องตลาดเมืองไทย, แท่งกราวด์ (Ground Rod) มีหลายแบบที่ใช้งานกัน โดยมีความแตกต่างตามวัสดุและการประยุกต์ใช้งาน ดังนี้:

  1. แท่งกราวด์ทองแดงเต็ม: เป็นแท่งกราวด์ที่ทำจากทองแดง 100% มีความนิยมสูงเนื่องจากทองแดงมีความนำไฟฟ้าดีและมีความทนต่อการกัดกร่อน
  2. แท่งกราวด์เหล็กหุ้มทองแดง (Copper-clad steel): เป็นแท่งกราวด์ที่มีแกนเหล็กและมีชั้นหุ้มทองแดงด้านนอก มีความทนทานต่อการกัดกร่อนจากทองแดงและมีความแข็งแรงจากเหล็ก
  3. แท่งกราวด์เหล็ก: ในบางกรณี, อาจใช้แท่งกราวด์ที่ทำจากเหล็ก แต่จะต้องมีการป้องกันการกัดกร่อน เช่น การทาสีหรือการใช้ชั้นความป้องกันอื่นๆ
  4. แท่งกราวด์เคมี: เป็นแท่งกราวด์ที่มีการใช้สารเคมีเพื่อเพิ่มความนำไฟฟ้าของดินรอบๆ แท่งกราวด์ ช่วยในการลดความต้านทานของการต่อดิน
  5. แท่งกราวด์แบบเหล็กหุ้มสังกะสี: เป็นแท่งกราวด์ที่มีการหุ้มด้วยสังกะสีเพื่อป้องกันการกัดกร่อน

เมื่อเลือกแท่งกราวด์, ควรพิจารณาความต้องการของระบบ, ประเภทของดิน, และสภาพแวดล้อมที่ติดตั้ง เพื่อให้ได้แท่งกราวด์ที่เหมาะสมและมีประสิทธิภาพในการนำกระแสไฟฟ้าไปสู่ดิน.

การเลือกขนาดสายไฟสำหรับสายดิน ควรเลือกขนาดเท่าไร

การเลือกขนาดสายไฟสำหรับสายดิน (Grounding Conductor) ควรพิจารณาตามปัจจัยต่อไปนี้:

  1. ขนาดของสายไฟฟ้าหลัก: สายดินควรมีขนาดที่เหมาะสมกับขนาดของสายไฟฟ้าหลัก (สาย Phase และ Neutral) โดยทั่วไปสายดินจะมีขนาดเท่ากับหรือน้อยกว่าสายไฟฟ้าหลัก แต่ไม่ควรมีขนาดที่เล็กเกินไปจนไม่สามารถรับกระแสไฟฟ้าที่เกิดจากการลัดวงจรได้
  2. ความยาวของสาย: ความยาวของสายไฟสามารถส่งผลต่อการตกค่าแรงดัน ดังนั้นหากมีการวางสายไฟเป็นระยะทางที่ยาว ควรพิจารณาการเลือกสายที่มีขนาดใหญ่ขึ้น
  3. ประเภทของอุปกรณ์: บางอุปกรณ์อาจมีข้อกำหนดเฉพาะเกี่ยวกับขนาดของสายดินที่ต้องใช้
  4. มาตรฐานและข้อกำหนด: ควรปฏิบัติตามมาตรฐานการไฟฟ้าและข้อกำหนดที่เกี่ยวข้องในประเทศไทย
  5. สภาพแวดล้อม: สภาพแวดล้อม เช่น ความชื้น, ความร้อน, สารเคมี อาจส่งผลต่อการเลือกวัสดุและขนาดของสายไฟ

โดยทั่วไป, สำหรับระบบไฟฟ้าที่ใช้ในบ้านเรือนหรืออาคารขนาดเล็ก สายดินที่ใช้มักจะเป็นสายทองแดงขนาด 2.5 มม.² หรือ 4 มม.² แต่สำหรับระบบไฟฟ้าขนาดใหญ่หรืออุปกรณ์ที่มีการกำหนดเฉพาะ ควรปฏิบัติตามข้อแนะนำหรือมาตรฐานที่กำหนดไว้.

ข้างล่างนี้เป็นตารางที่แสดงการเทียบระหว่างขนาดสายดิน (Grounding Conductor) กับขนาดเบรกเกอร์ (Circuit Breaker) โดยใช้ข้อมูลทั่วไปเป็นแนวทาง:

ขนาดเบรกเกอร์ (A)ขนาดสายดิน (mm²)
101.5
162.5
202.5
254
324
406
5010
6316
8025
10035
12550
16070
20095
250120

หมายเหตุ:

  • ตารางข้างต้นเป็นเพียงแนวทางทั่วไป และอาจมีการเปลี่ยนแปลงตามมาตรฐานการไฟฟ้าและข้อกำหนดในประเทศไทย หรือตามความต้องการของระบบไฟฟ้าเฉพาะ.
  • ควรปรึกษาวิศวกรไฟฟ้าหรือผู้เชี่ยวชาญเมื่อต้องการเลือกขนาดสายดินที่เหมาะสมกับระบบไฟฟ้าของคุณ.

การเลือกขนาดสายดินที่เหมาะสมเป็นสิ่งที่สำคัญสำหรับความปลอดภัยและประสิทธิภาพของระบบไฟฟ้า.

สรุป

ระบบสายดินเป็นส่วนสำคัญของระบบไฟฟ้า มีความจำเป็นเพื่อ:

  1. ความปลอดภัย: ป้องกันไฟดูดหรือกระแสไฟฟ้าลัดวงจรผ่านร่างกายมนุษย์ ซึ่งอาจทำให้เกิดอันตรายหรือเสียชีวิต
  2. ป้องกันอุปกรณ์: ลดความเสี่ยงจากการเกิดความเสียหายของอุปกรณ์ไฟฟ้าจากกระแสไฟฟ้าลัดวงจร
  3. ประสิทธิภาพในการทำงาน: ช่วยในการทำให้ระบบไฟฟ้าทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและเสถียร

ดังนั้น, ระบบสายดินมีความจำเป็นอย่างยิ่งในระบบไฟฟ้าทุกประเภทเพื่อความปลอดภัยและประสิทธิภาพของระบบไฟฟ้า ทุกครั้งที่ติดตั้งอย่าลืมว่าควรจะมีสายดินด้วยนะครับ