เบรกเกอร์มีหน้าที่อะไร
เบรกเกอร์ (Circuit Breaker) มีหน้าที่หลักๆ ดังนี้:
- ป้องกันการลัดวงจร (Short Circuit Protection): เมื่อเกิดการลัดวงจร, กระแสไฟฟ้าจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและสามารถทำให้เกิดความเสียหายต่ออุปกรณ์ไฟฟ้าและสายไฟ ดังนั้นเบรกเกอร์จะตรวจสอบและตัดการเชื่อมต่อกระแสไฟฟ้าเมื่อตรวจพบการลัดวงจร
- ป้องกันการเกินกระแส (Overcurrent Protection): เมื่อกระแสไฟฟ้าในระบบเกินกว่าที่ระบบไฟฟ้ากำหนดหรือเกินกว่าที่สายไฟสามารถรับได้, เบรกเกอร์จะทำงานโดยตัดการเชื่อมต่อกระแสไฟฟ้า
- ป้องกันการลัดวงจรกับดิน (Ground Fault Protection): ในบางรุ่นของเบรกเกอร์ มีฟังก์ชันในการตรวจสอบกระแสไฟฟ้าที่หลุดไปยังดิน และจะตัดการเชื่อมต่อกระแสไฟฟ้าเมื่อตรวจพบการสั้นวงจรกับดิน
- เป็นสวิตช์เปิด-ปิดระบบไฟฟ้า: เบรกเกอร์สามารถใช้เป็นสวิตช์เปิด-ปิดระบบไฟฟ้า ช่วยในการควบคุมการเชื่อมต่อหรือตัดการเชื่อมต่อกระแสไฟฟ้า
- ป้องกันความเสียหายของอุปกรณ์: โดยการตัดการเชื่อมต่อกระแสไฟฟ้าเมื่อเกิดสถานการณ์ที่อาจทำให้เกิดความเสียหายต่ออุปกรณ์ไฟฟ้า
- ป้องกันการไฟไหม้: โดยการตัดการเชื่อมต่อกระแสไฟฟ้าเมื่อเกิดสถานการณ์ที่อาจทำให้เกิดการไฟไหม้
เบรกเกอร์เป็นอุปกรณ์ที่มีความสำคัญในระบบไฟฟ้า ช่วยในการป้องกันและควบคุมกระแสไฟฟ้า ทำให้ระบบไฟฟ้าทำงานอย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ.
คำศัพท์ที่จำเป็นหากคุณจะต้องไปซื้อเบรกเกอร์
- Breaking Capacity (IC): หรือที่เรียกว่า Interrupting Capacity คือ ความสามารถของเบรกเกอร์ในการตัดกระแสไฟฟ้าเมื่อเกิดการสั้นวงจร โดยเป็นการระบุค่ากระแสสูงสุดที่เบรกเกอร์สามารถตัดและยังไม่ทำให้เกิดการเสียหายต่อเบรกเกอร์
- Amp Trip (AT): คือ ค่ากระแสที่ทำให้เบรกเกอร์ทำงาน (trip) หรือตัดกระแสไฟฟ้า เมื่อกระแสไฟฟ้าในระบบเกินค่าที่กำหนด
- Amp Frame (AF): คือ ค่ากระแสสูงสุดที่เบรกเกอร์สามารถรับได้โดยไม่ทำให้เกิดการเสียหาย มันเป็นค่าที่ระบุขนาดของเฟรมหรือโครงสร้างของเบรกเกอร์
เมื่อพิจารณาเบรกเกอร์ในระบบไฟฟ้า ควรพิจารณาค่าพิกัดกระแสเหล่านี้เพื่อให้แน่ใจว่าเบรกเกอร์ที่เลือกใช้สามารถรับกระแสไฟฟ้าและป้องกันการสั้นวงจรได้อย่างถูกต้องและปลอดภัย.
วิธีการเลือกเบรกเกอร์ แบบพื้นฐาน
การเลือกเบรกเกอร์ (breaker) สำหรับงานในอาคารจะขึ้นอยู่กับปริมาณกระแสไฟฟ้า (load) ที่เครื่องใช้ไฟฟ้าในอาคารนั้นๆ ใช้งาน การคำนวนเบรกเกอร์สามารถทำตามขั้นตอนดังนี้:
คำนวนปริมาณกระแสไฟฟ้าทั้งหมด (Total Current)
- รวมปริมาณกระแสไฟฟ้า (Current) ของเครื่องใช้ไฟฟ้าทุกตัวในอาคาร
- ใช้สูตร: ( I = {P}/{V} ) โดยที่ ( I ) คือกระแส (Current)
( P ) คือกำลังไฟ (Power)
( V ) คือแรงดันไฟฟ้า (Voltage)
เพิ่มปัจจัยความปลอดภัย (Safety Factor)
- เพื่อป้องกันการที่เบรกเกอร์จะตัดกระแสไฟฟ้าเมื่อมีการใช้งานที่เกินกำหนด โดยทั่วไปอาจเพิ่มประมาณ 20-25% ขึ้นอยู่กับการพิจารณา
เลือกเบรกเกอร์ที่มีความสามารถรับกระแสไฟฟ้าสูงกว่าที่คำนวน
- เลือกเบรกเกอร์ที่มีความสามารถรับกระแสไฟฟ้า (Rated Current) สูงกว่าปริมาณกระแสไฟฟ้าที่คำนวนได้
ตัวอย่างการคำนวน:
สมมติว่าในอาคารมีเครื่องใช้ไฟฟ้า 3 ตัว ดังนี้:
- แอร์ 2,000W
- ทีวี 400W
- ตู้เย็น 800W
- แรงดันไฟฟ้าที่ใช้งานคือ 220V
คำนวนปริมาณกระแสไฟฟ้า:
- แอร์: ( I = {2000}/{220} = 9.09 ) A
- ทีวี: ( I = {400}/{220} = 1.82 ) A
- ตู้เย็น: ( I = {800}/{220} = 3.64 ) A
- รวมทั้งหมด: 9.09 + 1.82 + 3.64 = 14.55 A
เพิ่มปัจจัยความปลอดภัย 25%:
- 14.55 x 1.25 = 18.19 A
เลือกเบรกเกอร์:
- เลือกเบรกเกอร์ที่มีความสามารถรับกระแสไฟฟ้าไม่ต่ำกว่า 18.19 A โดยทั่วไปอาจเลือกเบรกเกอร์ขนาด 20A
หมายเหตุ: การคำนวนข้างต้นเป็นเพียงตัวอย่างเบื้องต้น ในการเลือกเบรกเกอร์จริงๆ ควรพิจารณาปัจจัยอื่นๆ และข้อมูลเพิ่มเติมจากผู้ผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้า และควรปรึกษาวิศวกรไฟฟ้าเพื่อความปลอดภัยและความถูกต้อง.